วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

การปลูกมะนาวนอกฤดู ในวงบ่อซีเมนต์

สวัสดีค่ะเพื่อนผู้เยี่ยมชมบล็อกของเราค่ะ วันนี้มีเรื่องเปรี้ยวๆมาฝากค่ะนั่นคือ มะนาวนั่นเอง สำหรับผู้ที่กำลังจะหาพืชปลูกเจ้าของบล็อกคิดว่าน่าจะเป็นพืชที่น่าจะลองปลูกเหมือนกันค่ะ งั้นเรามาทราบวิธีการอย่างละเอียดกันเลยดีกว่าค่ะ
การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ และการทำมะนาวนอกฤดู
สำหรับเกษตรกรที่คิดจะปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 บ่อ จะใช้เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เท่านั้น ซึ่งจะใช้เงินลงทุนมากในช่วงเริ่มแรก ส่วนค่าใช้จ่ายหลักจะอยู่ที่วงบ่อซีเมนต์และฝารองซึ่งเมื่อรวมค่าใช้จ่ายกิ่งพันธุ์มะนาว, ระบบน้ำ ฯลฯ รวมเป็นเงินในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 วงบ่อ เป็นเงิน 27,000 บาทโดยประมาณ ต้นมะนาวในวงบ่อเมื่อมีอายุต้นเพียง 8 เดือน จะบังคับให้ต้นออกฤดูแล้งได้โดยใช้หลักการเดียวกับการปลูกลงดินคือคลุมพลาสติกให้กับต้นมะนาวในช่วงเดือนกันยายนและกระตุ้นการออกดอกในเดือนตุลาคม จะได้ผลผลิตมะนาวแก่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่มะนาวราคาแพงที่สุด เท่ากับว่าในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จะใช้เวลาเพียงปีเดียวเท่านั้นสามารถเก็บผลผลิตได้ในช่วงฤดูแล้ง
การเตรียมดินปลูกมะนาวและขนาดของวงบ่อซีเมนต์
การเตรียมการปลูกมะนาวตามวิธีของเราคือ ระยะห่างระหว่างแถวและ ระหว่างต้นคือ 3x3 เมตร ซึ่งวัดจากกึ่งกลางของวงท่อ โดยพื้นที่ที่จะทำการปลูกจะต้องปรับสภาพให้เรียบเสมอกัน จากนั้นทำการวางวงบ่อซีเมนต์ ตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ ให้วางฝาก่อนแล้วค่อยวางท่อบนฝาอีกทีบ่อซีเมนต์นั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซ็นติเมตร สูง 40 เซ็นติเมตร เมื่อวางตามตำแหน่งต่างๆได้เรียบร้อยแล้ว ให้ทำการตรวจสอบด้วยสายตาว่า วงไหนเอียงไม่ได้ส่วนให้เอาหินหรืออิฐ วางรองใต้ฝาเพื่อให้ได้ระดับไม่ลาดเอียง
วิธีการเตรียมดินปลูกมะนาวในการเตรียมดินนั้นใช้สูตร 3-2-1 กล่าวคือใช้ หน้าดิน 3 ส่วน - มูลวัวเก่า 2 ส่วน - เปลือกถั่วเขียว 1 ส่วน คลุกเล้าให้เข้ากัน
ใส่ดินในวงบ่อซีเมนต์ 
เมื่อผสมส่วนประกอบทั้ง 3 ให้เข้ากันดีแล้วโดยอาจจะผสมคราวละน้อยๆ ด้วยแรงงานคน หรือใช้วิธีผสมคราวละมากๆ ด้วยการใช้รถไถผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน หรืออาจจะใช้เครื่องโม่ผสมปูนก็ได้
หลังจากนั้นให้เอาส่วนผสมที่เข้ากันดีแล้ว ใส่ลงไปในวงท่อซีเมนต์ให้เต็มพอเสมอปากของวงท่อซีเมนต์ แล้วทำการเหยียบบริเวณขอบด้านข้างให้แน่น แล้วจึงเติมดินเข้าไปอีกให้พูนเป็นหลังเต่า
 ระบบน้ำระบบน้ำเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังนั้นในการวางระบบน้ำของเราจะใช้ระบบการกระจายน้ำโดย มินิสปริงเกอร์ เพราะน้ำจะกระจายไปทั่วๆวงบ่อซีเมนต์ โดยเริ่มจากใช้ท่อ PVC ขนาด 2 นิ้ว ต่อออกจากแหล่งน้ำ(สวนเราใช้แท๊งน้ำ) แล้วแยกออกไปด้วยท่อ PE ขนาด 22 มิลลิเมตร ไปตามแนววงบ่อซีเมนต์ของแต่ละแถว แล้วจึงใช้สายไมโคร PE เป็นตัวเชื่อมไปต่อกับมินิสปริงเกอร์ของแต่ละวงบ่อซีเมนต์
เตรียมกิ่งพันธุ์และการปลูกในการเตรียมกิ่งพันธ์นั้นสวนเราใช้กิ่งที่ได้มาจากการตอน และได้ทำการเลือกพันธ์ "แป้นรำไพและแป้นพวง" ระยะเวลาในการตอนกิ่งที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 20-25 วันหรือดูว่ามีรากออกมานิดหน่อยเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว จากนั้นให้นำกิ่งพันธ์ที่ได้ มาปักชำในถุงดำอีก 20 วัน ซึ่งก่อนปักชำในถุงดำให้นำกิ่งพันธุ์แช่ด้วยสาร สเตรปโตมัยซินซัลเฟต ในอัตราส่วน 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อป้องกันกำจัดโรงแคงเกอร์เบื้องต้นในการเลือกซื้อกิ่งพันธุ์จะต้องได้เห็นต้นจริงก่อนเท่านั้น หรือมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ไม่เช่นนั้นท่านอาจจะได้รับกิ่งพันธ์ที่ไม่ใช่พันธุ์แท้จะทำให้เสียเวลาและเสียความรู้สึกมากๆ
เมื่อองค์ประกอบครบแล้วใช้ทำการลงมือปลูกโดยขุดหลุมขนาดพอดีกับถุงดำที่มีกิ่งพันธุ์เพราะเลี้ยงมาจำนวน 20 วัน ใช้มีดกรีดถุงดำออก แล้วทำการปลูกโดยกดโคนให้แน่น และใช้ไม้มาปักเพื่อยึดต้นมะนาวไม่ให้โยกเยกเวลามีลมพัด
วิธีการรดน้ำต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ ทำอย่างไรในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ ให้ใช้พลาสติคคลุมปากบ่อซีเมนต์เพื่อป้องกันน้ำหรือฝนที่ตกลงมาในช่วงแรกๆ แต่พบปัญหาว่าเมื่อเกษตรกรนำพลาสติคไปคลุมกลับรักษาความชื้นให้กับต้นมะนาวใช้เวลานานวันกว่าดินจะแห้ง หรือเลือกใช้หลักการ "ฝนทิ้งช่วง" ในแต่ละปีช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ของทุกปี จะมีช่วงเวลาที่ฝนทิ้งช่วง ในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ ถ้าฝนไม่ตกติดต่อกัน 3-4 วัน ดินในวงบ่อจะเริ่มแห้ง ใบมะนาวจะเริ่มเหี่ยว หลังจากนั้นฉีดกระตุ้นให้ต้นมะนาวออกดอกและติดผลได้
การทำมะนาวนอกฤดูการบังคับมะนาวนอกฤดูในวงบ่อซีเมนต์
1. แปลงนี้ปลูก มะนาวพันธุ์ตาฮิติ และพันธุ์แป้น อายุประมาณ 4 ปี ทั้งหมด 600 วงในเนื้อที่ 2 ไร่เศษ
2. การให้น้ำระบบมินิสปริงเกอร์ ให้น้ำเช้า - เย็น
3. มะนาวจะราคาแพงที่สุดคือช่วงเดือน มีนาคม – เมษายน ของทุกปี ดังนั้นเมื่อเก็บผลผลิตหมดในเดือน
พฤษภาคม ให้รีบดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

- ตัดแต่งกิ่ง เด็ดผลที่เหลือบนต้นออก เพื่อบำรุงต้น เร่งการสร้างยอดใหม่ ใบใหม่โดย ผลมะนาวที่คุณภาพดีที่สุดคือผลที่เกิดจากยอดใหม่ ผลที่เกิดจากกิ่งเก่าคุณภาพจะด้อยลงมา ผลที่คุณภาพต่ำสุดคือผลที่เกิดติดกิ่ง หลังตัดแต่งกิ่งเสร็จใช้ปุ๋ยเคมี 15 – 15 – 15 ใส่หนึ่งกำมือต่อวง คุณพิชัยให้เหตุผลว่าหากไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย ต้นจะไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าที่ควร และพบอาการผลเหลืองที่ไม่ได้เกิดจากอาการม้านแดดมากกว่าปกติ เนื่องจากการให้ผลผลิตในปีที่ผ่านมา
ต้นมะนาวใช้ธาตุอาหารในการเลี้ยงลูกในปริมาณที่มาก
- เพิ่มวัสดุปลูกในวงบ่อเนื่องจากในแต่ละปีวัสดุปลูกจะยุบลง เพิ่มกาบมะพร้าวบริเวณโคนต้น เนื่องจากาบ
มะพร้าวผุพังไปบ้างในปีที่ผ่านมา กาบมะพร้าวเป็นวัสดุที่ช่วยเก็บรักษาความชื้นได้อย่างดี และยังเป็นวัสดุที่ช่วยเก็บ
รักษาปุ๋ยที่จ่ายมาทางระบบน้ำก่อนจะค่อย ๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารให้ต้นมะนาวใช้ ป้องกันการสูญเสียธาตุอาหารอันเกิดจากการไหลบ่า หรือการระเหย
- การให้ปุ๋ยชีวภาพซึ่งได้จากการหมักหอยเชอรี่30 กก. เศษผลไม้ 10 กก. กากน้ำตาล 10 กก. เชื้อพด.
2 จำนวน 25 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร สูตรนี้สามารถใช้ฉีดพ่นทางใบ ในอัตรา 20 - 25 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตรได้ ในส่วนของการให้ทางระบบน้ำนั้น เทคนิคคือใช้ปุ๋ยชีวภาพในอัตรา 5 ลิตร ต่อน้ำ 1,250 ลิตร ให้ทุก 5 - 7 วัน โดยในการให้จะให้ครั้งละ 3 – 5 นาทีเพื่อให้กาบมะพร้าวบริเวณโคนต้นชุ่มก็พอ หลังจากนั้นก็ให้น้ำตาม รอบปกติ น้ำจะ
ค่อย ๆ ละลายธาตุอาหารลงไปให้ต้นมะนาวใช้ เป็นการจัดการที่ประหยัดปุ๋ย ใช้ปุ๋ยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
- ในระยะนี้ต้องรักษาใบและยอดให้ดี เนื่องจากมีโรค แมลงที่สำคัญเข้าทำลายในระยะยอดอ่อนถึงเพสลาดคือ เพลี้ยไฟ และโรคแคงเกอร์ ในเรื่องสารเคมีคุณพิชัยให้แนวคิดว่าบางระยะยังต้องมีการใช้อยู่ แต่ต้องเลือกใช้ในระยะที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค คือใช้ในระยะก่อนเก็บเกี่ยวไม่น้อยกว่า 2 เดือน เนื่องจากแปลงเรียนรู้นี้ปลูกทั้งพันธุ์ตาฮิติ และพันธุ์แป้นคละกันไป พันธุ์แป้นอ่อนแอต่อโรคแคงเกอร์มาก
- หลักการใช้สารเคมีในแปลงมะนาว นอกจากเพลี้ยไฟ โรคแคงเกอร์แล้วยังมีโรคและศัตรูอื่น ๆ อีก เช่น หนอนชอนใบ หนอนกัดกินใบ แมลงค่อม โรคยางไหล โรคราเข้าขั้ว การเลือกใช้ชนิดของสารเคมีและระยะที่ใช้จึงมีความจำเป็น หากอยู่ในระยะที่ใช้สารเคมีได้ เพลี้ยไฟ และหนอนชอนใบมีสารเคมีที่ คุณพิชัยเลือกใช้ในการป้องกันกำจัดคือ อะบาแม็กติน อัตรา 3 – 10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ( ทั้งนี้อัตราการใช้แล้วแต่ความเข้มข้นของแต่ละบริษัทที่ผลิต ) หากพบการระบาดมากจะใช้สาร อิมิดาคลอพริด อัตรา 3 – 5 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร แมลงค่อมหรือด้วงปีกแข็งใช้สารคาร์โบซัลแฟน อัตรา 20 – 30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไซเปอร์เมทริน อัตรา 5 – 10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร โรคราเข้าขั้วใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อราแมนโคเซ็บ อัตรา 20 – 30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือคาร์เบ็นดาซิม อัตรา 10 – 20 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ความถี่ในการฉีดพ่น ทุก 7 - 15 วัน หรือแล้วแต่สภาพการระบาดของโรคแมลง นอกเหนือจาก
ระยะนี้แล้ว 2 เดือนก่อนเก็บเกี่ยว คุณพิชัยเลือกใช้น้ำหมักชีวภาพที่มีฤทธิ์ไล่ และกำจัดแมลง โดยใช้น้ำหมักที่หมักจากสมุนไพรที่ มีรสเผ็ด ขม เหม็น เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด บอระเพ็ด สะเดา ใช้สมุนไพรดังกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่ง30 กก. กากน้ำตาล 10 กก. พด. 7 จำนวน 25 กรัม ต่อน้ำ 30 ลิตร หมัก 20 วัน นำมาฉีดพ่นในอัตรา 25 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตรทุก 7 - 15 วัน
- เนื่องจากมะนาว มีอายุ ประมาณ 5 เดือนสามารถเก็บขายได้ในเดือนที่ 6 การวางแผนการบังคับให้ออกนอกฤดู คือต้องทำให้ออกดอก เดือนตุลาคม เดือนกันยายนต้องงดปุ๋ย งดน้ำ จากประสบการณ์ของคุณพิชัยจะเลือกใช้จังหวะฝนทิ้งช่วงประมาณ 7 – 15 วัน เป็นการงดน้ำไปในตัว เนื่องจากมะนาวแปลงนี้ 600 วง คุณพิชัยจัดการเพียง
คนเดียวจึงไม่สะดวกที่จะเลือกใช้พลาสติกคลุม เพราะพลาสติกก่อให้เกิดไอน้ำเกาะบริเวณผิวด้านในพลาสติก ลดความชื้น
ในดินยาก หากจะให้ได้ผลดี ในวันที่แดดออกต้องแกะพลาสติกออกให้น้ำระเหย หากฝนตกต้องคลุมพลาสติก เป็นการจัดการที่ยากในกรณีที่ไม่มีแรงงานเพียงพอ
- งดน้ำจนใบเหี่ยว สลด และหลุดร่วงประมาณ 50 – 60 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นให้น้ำตามปกติ ปุ๋ยเคมีที่ใช้เพื่อเปิดตาดอกในระยะนี้คือ ปุ๋ยที่มีตัวกลางสูงเช่น 12 – 24 – 12 หรือ 15 – 30 -15 ปริมาณ 1 กำมือต่อวงรดน้ำให้ชุ่มเพื่อให้ปุ๋ยละลาย
- หลังติดดอกแล้วให้น้ำตามปกติเช้า – เย็น เวลาละ 5-10 นาที
- ปุ๋ยทางดินที่คุณพิชัยใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ตลอดฤดูการผลิตคือปุ๋ยอินทรีย์ที่หมักจากเศษพืช มูลสัตว์ กากหอยเชอรี่ เป็นการลดต้นทุนการผลิต ลดภาวะดินเสื่อมโทรม ปรับสภาพดินให้สมบูรณ์ อย่างยั่งยืน
 การเก็บมะนาว และการรักษา
การเก็บผลมะนาว ถ้าต้นเตี้ยหรือไม่สูงมากนัก ก็เก็บโดยใช้มือปลิด แต่ถ้าต้นสูง นิยมเก็บโดยใช้มีดหรือตะขอผูกติดกับด้ามไม้รวกยาว ๆ คล้อง และกระตุกผลมะนาวลงมา แต่ถ้าต้องการให้ได้ผลมะนาวที่มีคุญภาพ ไม่บอบช้ำ ก็ควรจะใช้ตะกร้อหวายในการเก็บเกี่ยว ควรเก็บในขณะที่ผลเริ่มแก่ โดยสังเกตได้จากด้านขั้วของผลมะนาว เริ่มมีสีเหลืองเล็กน้อยผิว
เปลือกจะเรียบบางใส มีสีเขียวอ่อนกว่าผลที่ยังไม่แก่ เมื่อบีบดูจะค่อนข้างนุ่มมือ ไม่ควรเก็บมะนาวที่แก่เกินไป เพราะเปลือกจะบางมาก ทำให้เกิดความเสียหายในการขนส่งได้ง่าย อีกทั้งเมื่อนำไปขายจะทำให้ขายได้ไม่นานผลเน่าเสียหายได้เร็ว
การเก็บมะนาวต้องคัดผลที่สมบูรณ์ไม่มีร่องรอยการทำลายของแมลงและไม่มีสีเหลืองที่ผิวมะนาว 
   1.  ใส่กล่องกระดาษเก็บที่อุณหภูมิ  10-20  อาศาเซลเซียส ไว้ได้นานประมาณ 1  เดือน
   2.  ใส่ถุงพลาสติกเจาะรูระบายอากาศ เก็บที่อุณภูมิ  10 อาศาเซียลเซียส  ได้นานประมาณ  3  เดือน

แหล่งข้อมูล: กรมวิชาการเกษตร
ขอขอบคุณ : ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

1 ความคิดเห็น: